ลุยเทือกเขาหิมาลัยจุดสูงสุดของนักเดินทางด้วย Royal Enfield Himalayan 450

ลุยเทือกเขาหิมาลัยจุดสูงสุดของนักเดินทางด้วย Royal Enfield Himalayan 450

Royal Enfield ปรับใหม่ยกคันให้กับ Himalayan 450 ยัดฟังก์ชั่นมาเพียบพร้อมกับการทดสอบสุดโหดที่เทือกเขาหิมาลัย

เทือกเขาหิมาลัยถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนที่อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศที่ดีกับวิวหลักล้านแบบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือผมเองและไม่คิดไม่ฝันว่าผมนั้นจะได้รับโอกาสนี้จาก Royal Enfield ที่ได้ให้โอกาสพวกเราชาวมอไซค์ได้เข้าร่วมทดสอบ Royal Enfield Himalayan 450 กับเส้นทางแนวเทือกเขาหิมาลัยที่สวยงามขนาดนี้ ซึ่งเมืองที่พวกเราได้มานั้นคือเมือง Manali ประเทศอินเดีย

-Royal Enfield ได้ทำการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องกับโมเดล Himalayan ต้องบอกว่าการกลับมาในครั้งนี้ของ Royal Enfield ไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปโฉมภายนอกเพียงเท่านั้นแต่ปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดให้กับโมเดล Himalayan 450 คันนี้

-First Impression ครั้งแรกที่ได้เห็นนะครับรู้สึกว้าว!!! มากกับดีไซน์ที่ทางค่ายได้ออกแบบมา ซึ่งเราเองจะติดภาพของรถอินเดียที่จะมีความเป็นสันเป็นเหลี่ยมมาก ๆ ไม่ก็หน้ายกสูงหรือท่อที่เป็นทรงกระบอกยาว ๆ แต่กลับมาครั้งนี้ Royal Enfield ได้ลบความเป็นสันเป็นเหลี่ยมออก เพิ่มความโค้งดูมีลูกเล่นมากขึ้น ไฟหน้าที่ออกแบบมาใหม่ดูมีความทันสมัยมากขึ้นโดยมีการแบ่งขั้นด้วยคำว่า Royal Enfield ไว้ตรงกลางดวงไฟ ตัวโคมไฟนั้นสามารถปรับระดับให้ยกสูงหรือต่ำชิดกับบังโคลนหน้าได้ถ้าหากบางประเทศไม่มีป้ายทะเบียนหน้า เปรียบเทียบกับผู้หญิงคือจะดู Sexy ขึ้นมาอีกมากๆ เพราะการทำความรู้จักครั้งแรกจะต้องมองรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการเลือกรถคู่ใจคันหนึ่ง เรื่องดีไซน์ผมเองถือว่าประทับใจเอามาก ๆ

-Royal Enfield Himalayan 450 มีอะไรดีบ้างนอกจากดีไซน์ที่เปลี่ยนมา Crash Bar ป้องกันตัวรถรอบคันไม่ว่าจะเป็นป้องกันถังทั้งซ้ายและขวา หรือแม้แต่ป้องกันใต้เครื่องยนต์ก็มีด้วยเช่นกัน ส่วนใครที่เป็นคนรักการเดินทางที่จะต้องเก็บสัมภาระไปเยอะๆ บริเวณเบาะท้ายก็มีแร็คท้ายเสริมให้เราได้ติดตั้งกล่องท้ายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 5 กิโลกรัม เลยทีเดียว

เรือนไมล์ที่มาในแบบ TFT Full Screen ขนาด 4 นิ้ว อยู่ในระดับสายตายทำให้เราไม่ละสายตาขณะที่โฟกัสกับเส้นทางหรือถนนที่กำลังขับขี่อยู่มองได้ง่าย ปรับความมืดและสว่างได้อัตโนมัติ ในหน้าจอนี้ยังมี Navigator หรือระบบนำทางทั้งแบบ Turn by Turn และ Full Screen สามารถเปลี่ยนการมองเห็นได้โดยกดปุ่ม Mode ด้านขวาแช่ไว้ 3-5 วินาที แบบ Full Screen ที่เราจะเห็นได้แบบใน Google Map บอกระยะทางที่เหลือ บอกระยะทางอีกกี่กิโลที่จะให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งระบบ Android และ IOS ภายใต้แฮนด์ยังมีพอร์ตช่องสำหรับเสียบชาร์จมือถือแบบ Type-C อีกด้วย

-เครื่องยนต์ (Engine) ก็ทำออกมาได้ดีมากในครั้งนี้ Royal Enfield ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นแต่ทางค่ายยังใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของผู้ขับขี่ที่จะให้ทั้งมือใหม่และมือเก่าได้เข้าถึงได้ง่าย โดยการทดกำลังเกียร์ทำให้เป็นการออกตัวที่สมูทที่สุด เครื่องยนต์มาในขนาด 1 สูบ 452cc DOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ สามารถทำแรงม้าได้ 40.02 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาทีและสามารถทำแรงบิดสูงสุดได้อยู่ที่ 40 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ 6 Speed เชื่อในความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้เพราะเส้นทางที่เทือกเขาหิมาลัยนั้นจะบอกว่าโหดพอสมควรเลยก็ว่าได้ ทั้งหิน ดิน ทราย หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่พร้อมจะมายืนกลางถนนให้เราได้งงกันเล่น ๆ แรงม้าและแรงบิดที่พาไปด้วยกันนั้นมันได้สร้างความบาลานซ์ให้กับการขับขี่ ออกตัวอาจจะออกแบบนิ่ง ๆ แต่พอได้ลอยลำไปแล้วก็เปิดคันเร่งได้แบบเรื่อย ๆ ตัวถังน้ำมันมาในขนาด 17 ลิตร กับการเดินทาง 100+ กิโลเมตร น้ำมันยังเหลือ ๆ ประมาณครึ่งถังถือว่าเหมาะกับการเดินทางไกลมาก ๆ

-ท่านั่งและการขับขี่ จะสูงจะต่ำ ก็ไม่มีปัญหาเพราะตัวรถได้มีการสร้างตัวปรับเบาะได้มากถึง 4 ระดับ ก็จะให้อารมณ์การขับขี่ที่ต่างกันด้วยเช่นกัน เช่นต่ำสุดท่านั่งการขับขี่ก็จะสบายเท้าถึงพื้นได้ง่าย หรืออยากจะเป็นสายลุยสายบู๊ก็จัดเบาะให้สูงสุดไปเลย บอกเลยว่าผมนั้นใช้เบาะสูงตลอดการเดินทาง เพราะขับขี่ได้มันส์มาก ๆ แฮนด์ไม่หนักสู้แขนเรามากจนเกินไป ควบคุมง่าย

-จะให้รักและเลิฟเลยก็คงจะเป็นในส่วนของระบบช่วงล่างที่ทาง Royal Enfield ได้ทำการใช้ของ Showa แบบ Upsidedown ขนาด 43 มม. สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากแม้ทางจะโหดขนาดไหน ไม่แข็งและไม่ย้วยมากไป และเบรกต้องบอกว่าเอาอยู่เป็นอย่างมาก เพราะเบรกได้มาจาก BYBRE 2 Pot พร้อม ABS ที่สามารถเปิดและปิดได้ทั้งหน้าและหลัง และจะขาดไปไม่ได้เลยคือยางที่คู่ควรกับสภาพถนนที่สุดโหดแบบนี้เป็นยางแบบ Dual Purpose หรือยางแบบกึ่งนั่นเอง มาพร้อมกับชุดล้อซี่ลวดสไตล์ Adventure หน้า 21 นิ้ว หลัง 17 นิ้ว 3 อย่างรวมกันสำหรับเซ็ทนี้ในรถสไตล์ Adventure ขนาดกลางและสามารถทำการขับขี่ได้ทั้งทาง Off-Road และ On-Road ในสภาพถนนที่โหดได้มันส์ขนาดนี้สำหรับผมถือว่าให้มาล้นจริง ๆ สำหรับช่วงล่าง

-ถ้าหากได้ไปแล้วนำไปต่อยอดอย่างไรได้บ้าง ต้องบอกเลยว่ามองครั้งแรกผมเองนึกถึงรถที่ใช้ในการแข่งขัน Rally Dakar ผมคิดว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้เลยเพราะรูปทรงที่มาให้แบบไม่ต้องทำอะไรมากอีกแล้ว ท่อแบบ Full System 1 ชุด เบาะแต่งตอนเดียวแบบยาว การ์ดแฮนด์ ตะแกรงไฟหน้า เท่านี้ก็สามารถเพิ่มความสนุกในการขับขี่ของเพื่อน ๆ ได้มากเลย

-สรุปโดยรวมสำหรับ Adventure Bike ขนาดกลางคันนี้หากพูดถึงการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับผมแล้วมันล้นจริง นะ ให้มาทั้งช่วงล่างที่ดีเยี่ยม ดีไซน์ที่สวยดูทันสมัยมาก ของติดรถมาแบบคุ้ม โดยเฉพาะหน้าจอ TFT ที่มี Navigator แบบ Full Screen แบบ Real Time แบบนี้ จะนำมาใช้งานทั่วไป จะจับมาแต่ง Custom ตามใจตัวเอง หรือจะเอาไปเที่ยวกับเพื่อน ก็ยังได้สบาย ในเรื่องของความคุ้มและความประหยัด ในตอนนี้ก็ได้มีสีออกมาทั้งหมด 5 สีด้วยกันทั้ง Hanle Black , Kamet White , Slate Himalayan Salt , Slate Poppy Blue และ Kaza Brown อยากให้ได้ลองก่อนตัดสินใจแล้วจะคุณจะได้เห็นมุมมองใหม่ ของ Royal Enfield

ทุกเส้นทางย่อมมีจุดสิ้นสุดของมันแต่ Side Story ระหว่างทางนั้นน่าจดจำมากกว่าเสมอ ต้องขอขอบคุณทาง Royal Enfield ที่ทำให้ฝันเล็ก ๆ ของนักเดินทางคนนี้ให้มันเป็นจริงขึ้นมากับรถที่มีการขับขี่ที่สนุกแบบนี้ เพราะโอกาสที่จะได้มาสัมผัสเทือกเขาหิมาลัยพร้อมควบกับรถคู่ใจอย่าง Himalayan 450 แบบนี้จะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว


ติดตามข่าวสารวงการมอไซค์ : http://www.mocyc.com
Page Facebook : Mocyc.com
Youtube : มอไซค์
IG : MocycThailand