รีวิว CBR250RR กับรหัส RR = Racing Replica

 

รีวิว CBR250RR กับรหัส RR = Racing Replica

ฮั่นแน่ !!!! รถสปอรต์ที่เรียกได้ว่าฮ๊อทที่สุดตอนนี้ก็คงต้องเป็น Honda CBR 250 RR คันนี้แหล่ะครับ เรียกได้ว่าขาซิ่งบ้านเรารอมาอย่างนานเลยทีเดียวกว่าจะเข้ามาในประเทศไทย ซึ่ง รหัส RR คือรหัสของรถสปอร์ตของ Honda ที่ย่อมาจาก Racing Replica ต้องเรียกว่าเป็นสเป็กรถแข่งเลยก็ว่าได้ CBR 250 RR เกิดมาเพื่อการแข่งขันในสนามโดยเฉพาะเลย CBR 250 RR ยังถูกนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยครับ เรียกได้ว่างานเนียนงานดีมีคุณภาพอย่างแน่นอน

 

 

เรามาดูสเป็กของ CBR 250 RR กันครับ

CBR 250 RR มีความจุกระบอกสูบขนาด 249.7 cc แบบ 2 สูบเรียง ขนาดกระบอกสูบ X ช่วงชักอยู่ที่ 62.0 X 41.3 มม. ให้แรงม้าสูงสุดที่ 38 ตัว และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 23 นิวตันเมตร จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ เกียร์ 6 สปีด การออกแบบแคมชาฟท์เป็นเหมือนรถซุปเปอร์ไบค์เลยเพื่อให้อัตราเร่งและแรงม้าของตัวรถ สามารถรีดออกมาได้อย่างเต็มที่ ตัวรถยังมีช่องลมที่บริเวณเบาะท้ายเพื่อทำให้การไหลผ่านของกระแสลมดีขึ้น รถไม่ต้านลม หัวลูกสูบและกระบอกสูบที่เน้นความทนทานเป็นพิเศษ ซึ่งตัวรถนั้นมีเรดไลน์อยู่สูงมากถึง 14,000 รอบต่อนาทีด้วยกัน ลากเกียร์ได้ยาววววววว มากกกกกกกก ไฟเป็น LED รอบคัน โช๊คหน้าป็นแบบ Up-Side Down ของ Showa ขนาด 37 มิลเมตร เบรกหน้าและหลังเป็นแบบดิกส์เบรก ดิกส์เบรกหน้าเป็นแบบลายคลื่น ซึ่งช่วยในเรื่องระบายความร้อน  ซึ่งระบบเบรกมาพร้อม ABS ด้วยครับ ทำให้มั่นใจในการเบรกได้อย่างแน่นอน (ระบบเบรกเป็นของ Nissin) แฮนด์เป็นแฮนด์แบบจับโช๊คใต้แผงคอซึ่งให้อารมณ์รถสปอร์ตเป็นอย่างมาก เบาะรถแยกเป็นสองตอนแบบรถซุปเปอร์ไบค์  หน้าจอเป็นแบบ Fully LCD Digital Mater & Lap Timer ซึ่งแสดงผลได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งในที่ที่มีแสงจ้า

 

 

คันเร่งเป็นคันเร่งไฟฟ้า Throttle by Wire ที่มีโหมดการขับขี่มีอยู่ด้วยกัน 3 โหมด ประกอบไปด้วยโหมด Comfort, Sport และ Sport + ซึ่งคันเร่งไฟฟ้าจะส่งสัญญาณจากคันเร่งไฟฟ้าไปยังกล่อง ECU เพื่อให้คำนวณอัตราการจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมัน ที่แตกต่างกันในแต่ละโหมด โดยการเปลี่ยนโหมดเพียงแค่สัมผัสปลายนิ้วที่ประกับด้านซ้าย โครงรถเป็นแบบโครงถัก  Truss Frame ซึ่งให้ความสวยงามและการซับแรงที่ดี ซึ่งการประกอบต่างๆเรียนประณีตอย่างแน่นอน สมกับคำที่ติดมากับรถเลยครับว่า Made In Japan โช๊คหลังเป็นแบบ โมโนสปริง ซึ่งสามารถปรับความแข็งของสปริงได้ 5 ระดับ ยางหน้ามีขนาด 110/70 ยางหลังมีขนาด 140/70 ซึ่งยางที่ติดมากับเป็นยาง Dunlop รุ่น SPORTMAX ถังน้ำมันมีขนาด 14.5 ลิตร ซึ่งถ้าขี่ออกทริปขี่ได้ไกลๆแน่นอน  ท่อของ CBR 250 RR เป็นท่อแบบท่อคู่ซึ่งทั้งสองก็เป็นท่อจริงๆไม่ได้เป็นท่อหลอกครับ  น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 168 กก.

 

 

เรามาดูฟิลลิ่งด้านการขับขี่กันบ้างครับ  

 

 

ท่านั่งเป็นท่านั่งที่ก้มไปข้างหน้าตามสไตล์ของรถสปอร์ตเลยครับ แต่ไม่ได้สปอร์ตเหมือนรถซุปเปอร์ไบค์นะครับ การวางเท้า รถมีความสุงจากเบาะถึงพื้น 790 มม. ซึ่งผู้ขับขี่สูง 177 เรียกได้ว่าเกือบเต็มเท้าเลยครับ

 

 

 รถมีน้ำหนักเบาจึงทำให้ความคล่องตัวของรถสูงมาก โหมดการขับขี่ที่มีอยู่ 3 โหมด ซึ่งทั้ง 3 โหมดมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ เรามาดูที่โหมดแรกกันดีกว่าครับ เริ่มต้นด้วยโหมด Comfort ซึ่งเป็นโหมดที่คันเร่งตอนสนองค่อนข้างช้าตามตไลต์ของคันเร่งไฟฟ้าเลยครับ ความรู้สึกของตัวผมเอง แรงม้าของรถปล่อยมาไม่เต็ม ซึ่งโหมดนี้ถ้าขับขี่ในระหว่างฝนตกช่วยได้มากเลยครับ โหมดต่อมาเป็นโหมด Sport แตกต่างจากโหมด Comfort อย่างเห็นได้ชัดเลยครับ คันเร่งมาไวกว่า เร่งติดมือกว่า แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นคันเร่งไฟฟ้าอยู่ครับ เสียงเครื่องยนต์ช่วง 8 พันรอบขึ้นไปเร้าใจมากครับ  โหมดสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นโหมดที่ให้เราได้รับรู้ถึงความเป็น RR มากที่สุดนั่นก็คือ โหมด Sport+ ซึ่งโหมดนี้เป็นโหมดที่รถปล่อยแรงม้ามาเต็มที่เลยครับ คันเร่งไฟฟ้าให้ความรู้สึกเป็นคันเร่งสายเลยครับ เปิดคันเร่งบุ๊ปรอบมาปั๊ปเลยครับ ตอบสนองความต้องการได้ไวมากๆ เรทไลน์อยู่ที่ 14000 รอบ/นาที ผมเตะเกียร์อยู่ที่ 13000 รอบ/นาที บอกได้เลยว่ามันส์มากครับ เกียร์ของรถให้ความรู้สึกแบบลื่นไหลมาก ไม่มีสะดุดหรือรอรอบเลย ความเร็ว Top Speed ที่ทำได้อยู่ที่ 180-181++ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยครับ

 

 

 อ้อ การเปลี่ยนโหมดสามารถเปลี่ยนในระหว่าการขับขี่ได้เลยครับ แต่ต้องยกคันเร่งก่อน 1 ครั้งตอนกดเปลี่ยนโหมดครับ  ในทางโค้งรถไม่ดื้อโค้งเลยครับ แต่ต้องเซ็ทโช๊คหลังให้เข้ากับน้ำหนักของผู้ขับขี่ด้วยครับ ถ้าแข็งไปจะทำให้รถแถได้ครับ ซึ่งผมน้ำหนักอยู่ที่ 80 กิโลกรัม เซ็ทโช๊คหลังอยู่ที่ระดับความแข็งอยู่ระดับ 4 ครับ การพลิ๊กรถสามารถพลิ๊กได้ไวเอามากๆเลยครับเนื่องด้วยน้ำหนักรถที่เบาเลยทำให้พลิ๊กได้ไว

 

 

การขับขี่ในสนาม

 

 

ครั้งนี้เราได้ไปของใช้สนามของ Hon Safety Riding Park Chiang mai ซึ่งเป็นสนามขับขี่ปลอดภัย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าแทร็คที่นี่ดีมากๆครับ หนึบ มั่นใจในการขับขี่มากครับ ซึ่งรถเดิมๆที่ผมได้ทดสอบในการขี่ เรซซิ่งต้องบอกเลยว่า รถทำได้ดีมากๆครับ ตอบสนองคันเร่งได้ดี เลี้ยวง่าย ไม่ดื้อโค้ง เลี้ยวง่ายมากๆ ทำให้มั่นใจในการนอนรถเยอะๆเลยครับ โช๊คหน้าที่เซ็ทค่ามาจากโรงงานเอาอยู่สบายๆเลยครับ ไม่รู้สึกยวบหรือย้วยเลย และการขับขี่ในสนามต้องขี่รอบสูงๆด้วยครับ จะทำให้เรารู้สึกเร้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเป็นเสียงคันเร่ง หรือว่าอารมณ์ในการขับขี่ ทำให้รู้เลยครับว่าทำไมต้องเป็น RR

 

 

ขอขอบคุณ AP.Honda ที่ให้พวกเราทีมงาน Mocyc.com ได้ทำการทดสอบขับขี่ในครั้งนี้ด้วยครับ