รีวิว CB650R และ CB1000R ทริปหัวหิน พร้อมขับขี่ในสนามแก่งกระจาน

 

รีวิว CB650R และ CB1000R ทริปหัวหิน พร้อมขับขี่ในสนามแก่งกระจาน

Neo Sport Café เป็นการผสมผสานกันระหว่าง รถแนว Sport และ Naked ซึ่งการผสมผสานครั้งนี้ทำให้รถดูมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าของรถที่เป็นไฟกลมแนวเรโทร จึงทำให้รถที่เป็น Neo Sport Café ดูมีความเท่ห์ลงตัวสวยงามมากครับ ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการทดสอบ CB650R และCB1000R โดยการเดินทางครั้งนี้ผมได้เดินทางจาก Honda BigWing เลียบด่วนรามอินทรา ไปยัง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และยังมีการทดสอบในสนามแข่งรถกระจานด้วย ซึ่งของเลยครับว่าเป็การทดสอบรถที่เต็มเปี่ยมมากครับไม่ว่าจะเป็นการขี่บนท้องถนนหรือในสนามแข่ง ที่สำคัญการขับขี่สองแบบนี้ ให้ความรู้สึกและฟิลลิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ

 

 

เริ่มต้นการเดินทางวันแรกผมได้จับ CB1000R เป็นคันแรกซึ่งฟิลลิ่งที่สัมผัสได้คือ รถมีน้ำหนักพอสมควรครับ ท่านั่งเป็นท่านั่งรถแนวเน็กเก็ตทั่วไปครับ จะโน้มมาข้างหน้าอยู่นิดหน่อย แต่ไม่มากนัก การควบคุมรถทำให้รู้สึกได้เลยว่าควบคุมง่ายแน่นอน

 

 

เริ่มต้นการเดินทางวันแรกผมได้จับ CB1000R เป็นคันแรกซึ่งฟิลลิ่งที่สัมผัสได้คือ รถมีน้ำหนักพอสมควรครับ ท่านั่งเป็นท่านั่งรถแนวเน็กเก็ตทั่วไปครับ จะโน้มมาข้างหน้าอยู่นิดหน่อย แต่ไม่มากนัก การควบคุมรถทำให้รู้สึกได้เลยว่าควบคุมง่ายแน่นอน โหมดการขับขี่ยังมีอยู่ 4 โหมดด้วยกันเลย ซึ่งโหมด Sport Standard Rain สามโหมดนี่จะถูกล็อคการปรับต่างๆไว้เป็นค่ามาตรฐานครับ สำหรับโหมด Used สามารถปรับได้ทั้งแทร็คชั่นคอลโทร เอ็นจิ้นเบรก และกำลังของเครื่องยนต์ได้ครับ โดยการปรับโหมดเพียงแค่สัมผัสด้วยปลายนิ้วเราเลย โดยเครื่องยนต์ของ CB1000R เป็นเครื่องยนต์เดียวกับ CBR1000RR เลยครับ แต่ที่แตกต่างกันคือฐานล้อครับ CB1000R มีฐานล้อที่สั้นกว่า จึงทำให้เวลาออกตัวหน้าก็จะแอบยกล้ออยู่หน่อยๆเลยครับ แต่ก็มีแทร็คชั่นคอลโทรเข้ามาช่วยจึงทำให้รถไม่ยกล้อครับ เรียกว่าเทคโนโลยีของ CB1000R ช่วยไว้ได้เยอะจริงๆครับ ซึ่งการขับขี่บนท้องถนนเป็นการขับขี่แบบออกทริปเราจึงไม่สามารถใช้ความเร็วได้จึงทำให้ไม่สามารถทดสอบเรื่องของ TOP Speedได้ ความเร็วที่ใช้ยืนพื้นอยู่ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ

 

 

ในการขับขี่กลางคืน ไฟรอบคันที่เป็นระบบ LED ให้ความสว่างในการมองเห็นเป็นอย่างดีครับ มองเห็นทางชัดเจนเลย

 

 

การขับขี่ในการคืนหากใครได้ลองสัมผัสแล้วผมเชื่อว่าต้องหลงรักความหล่อความเทห์ของ CB ทั้งสองรุ่นนี้แน่นอนเลยครับ

ในการทดสอบการขับขี่ในสนาม พวกเราได้ขับขี่กันที่สนามแก่งกระจานเซอร์กิต ซึ่งสนามมีความลาดชันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าการทดสอบเค้นประสิทธิภาพรถได้เป็นอย่างดีเลย

 

 

โดยการเดินทางเข้าสนาม มีโค้ชฟิลม์ขี่นำขบวนในการขับขี่ด้วยครับ ก่อนลงสนามทำการทดสอบก็ยังมีการติวเรื่องโค้งต่างๆของสนาม  โดยสองนักบิดอย่างโค้ชฟิลม์และโค้ชแมน แจ่มสาครด้วยครับ

 

 

หลังจากที่ติวเรื่องการขับขี่กันเสร็จก็ถึงเวลาที่ผมได้ทดสอบแล้วครับ โดยการทดสอบครั้งแรกจะเป็น CB650R ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับ CB650R และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขับขี่ในสนามแก่งกระจานอีกด้วยครับ บอกเลยครับว่าตื่นเต้นมากๆ

 

 

สองรอบแรกผมได้ทำการดูลายสนาม  เพื่อจะได้รู้จุดเบรกหรือจุดยกคันเร่งต่างๆ เจ้า CB650R ยอมรับเลยครับว่าขี่ง่ายมากๆ เป็นมิตรกับคนขี่อีกด้วย เพียงแค่ 3 รอบผมก็สามารถจับอาการรถได้เลยครับ โค้งยาวๆ ช่วงล่างเดิมๆที่เซ็ทมาจากโรงงานสามารถขับขี่แบบเรสซิ่งได้พอสมควรครับ ด้วยโช๊คหน้าที่อัพเกรดมาเป็น Up-Side Down ช่วยให้ไม่ออกอาการมากนัก สลิปเปอร์คลัตช์ ช่วยได้ดีเลยครับ ท้ายมีอาการนิดหน่อยทำให้ล้อหลังไม่สะบัดเวลาเราเชนเกียร์ลงหนักๆเลย

 

 

โช๊คหลังถ้าทำการปรับเซ็ทอีกนิดหน่อยพอดีเลยครับ โช๊คหลังเซ็ทมาจากโรงงานถ้าขี่ในถนนพอดีเลย แต่ในสนามต้องแข็งกว่านี้อีกนิดเนื่องจากการเข้าโค้งค่อนข้างหนักและการพลิ๊กรถไวๆ ทำให้มีอาการบ้าง โค้ง S รถพลิ๊กได้ไว้มากครับ โค้งยาวๆการเดินคันเร่งไม่มีปัญหาเลยเนื่องจากมีแทร็คชั่นคอลโทร  ช่วยทำให้มั่นใจในการเดินคันเร่งในโค้งมากครับ

สำหรับ CB1000R ฟิลลิ่งการขับขี่ในสนามต้องบอกก่อนว่าค่อนข้างเหนื่อยกว่าตัว 650 อยู่ครับ เพราะรถมีความแรงจึงต้องควบคุมรถเยอะกว่าครับ

 

 

อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ตอนแรกเลยครับ CB1000R ฐานล้อสั้นกว่า CBR1000RR ทำให้รถจะยกล้ออย่างเดียวเลยครับ  ช่วงโค้งยาวๆรถทำได้ดีครับไม่ดื้อโค้ง แต่ช่วงที่เปิดคันเร่งตอนออกโค้ง  พบอาการโช๊คหลังมีอาการย้วยอยู่ครับ  แต่ถ้าปรับเซ็ทให้ได้นำหนักตัวของผู้ขับขี่มันส์แน่นอน โค้ง S รถพลิ๊กได้ดีครับ ไม่ถึงกับไวมากต้องใช้คนเข้าไปบวกช่วยนิดหน่อยครับ เนื่องจากรถมีน้ำหนักค่อนข้างมากจึงทำให้ต้องใช้แรงเข้าช่วยเยอะขึ้นครับ

โดยรวมแล้ว สองพี่น้อง CB650R, CB1000R เป็นรถที่ขับขี่ได้สนุกมากครับไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ท่องเที่ยวในเมือง  หรือการขับขี่ในสนาม เป็นรถที่เรียกได้ว่าตอบโจทย์ของผู้ขับขี่ได้ดีเลยครับ สำหรับคนที่รักเน็กเก็ตไบค์ที่ออกแนวเรโทร ไม่ควรพลาดสิ่งที่ดีแบบนี้เลยครับ ขอแค่ลองเปิดใจรับรองจะได้ความคุ้มค่าจากพี่น้องตระกลู Neo Sport Café อย่างแน่นอนเลยครับ

 

 

ขอขอบคุณ AP.Honda ที่ให้พวกเราทีมงาน Mocyc.com ได้มีส่วนร่วมในการทดสอบครั้งนี้ด้วยครับ