นอกจากการทำ พ.ร.บ.รถยนต์ ที่กฎหมายได้กำหนดให้เจ้าของรถยนต์ทุกคนต้องทำแล้ว การทำประกันรถยนต์เพิ่มเติมก็นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะเป็นการประกันความเสี่ยงโดยที่เจ้าของรถยนต์ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหายตามประเภทกรมธรรม์ อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนเองด้วย ที่สำคัญคือสามารถขอรับบริการฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากประสบเหตุทางรถยนต์ในยามวิกาลหรือในต่างจังหวัด อย่างไรก็ตาม ประกันรถยนต์นั้นมีให้เลือกมากมายหลายแผนด้วยกัน ทั้งประกันภัยชั้น 1 ประกันภัยชั้น 2 2+ 3 และ 3+ ซึ่งจะเลือกแผนใดให้คุ้มค่าและเหมาะกับการใช้งานมากที่สุดนั้น วันนี้เรามีเทคนิคการเลือกประกันรถยนต์มาฝากกัน 

มีรถคันแรก และประสบการณ์การขับรถยังน้อย 

สำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่หัดขับหรือเพิ่งออกรถคันแรกในชีวิต นับว่าเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากประสบการณ์การขับรถยนต์ยังน้อย ดังนั้น จึงควรเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่การคุ้มครองครอบคลุม ทั้งตัวผู้ขับเองและคู่กรณี นอกจากนี้ ยังคุ้มครองในส่วนของรถด้วย โดยคุ้มครองทั้งกรณีที่มีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองกรณีที่รถสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมหรือไฟไหม้ด้วย แม้จะเป็นการจ่ายที่แพงแต่มีไว้จะอุ่นใจอย่างแน่นอน 

เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย 

สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางขับรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆ การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 อาจตอบโจทย์มากที่สุด เพราะแม้ว่าจะมีทักษะหรือประสบการณ์การขับรถที่ดี แต่การที่ใช้รถบ่อยหรือระยะทางการขับขี่ที่มาก ความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุก็มีสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งการทำประกันรถชั้น 1 จะช่วยให้ทุกการขับขี่ของคุณนั้นอุ่นใจและมั่นใจมกขึ้น  

มีความชำนาญในการขับรถ 

ผู้ที่มีประสบการณ์การขับรถที่ค่อนข้างมาก มีทักษะการขับรถที่ดี หรือขับมานานแล้วแต่แทบจะไม่เคยขับชน การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 2 3 หรือ 2+ 3+ อาจตอบโจทย์และเหมาะกับการใช้รถมากกว่า ซึ่งจะเลือกแผนประกันแบบ + หรือไม่นั้น ควรสังเกตพฤติกรรมการขับรถของตัวเองที่ผ่านมาว่ามีการขับรถไปชนผู้อื่นหรือไม่ กรณีที่มีคู่กรณีควรเลือกแผนประกันแบบ 2+ หรือ 3+ เพราะการคุ้มครองครอบคลุมกรณีมีคู่กรณีด้วย 

และทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคการเลือกประกันรถยนต์ให้คุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งหลักๆ แล้วสิ่งที่ต้องคำนึงก่อนเลือกแผนประกันรถคือประสบการณ์การขับขี่ พฤติกรรมการใช้รถ รวมถึงการยอมรับความเสี่ยงว่าสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน เพื่อให้สามารถเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเบี้ยที่แพงเกินความจำเป็น